วันอาทิตย์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ศิลปะกับชีวิต ( ศาสตราจารย์ระพี สาคริก)

        พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงลิขิตข้อความในเชิงปรัชญาพระราชทานไว้แก่พสกนิกรทุกคนว่า ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก…” ประเด็นนี้ถ้าจะพิจารณาเพื่อนำมาใช้ประโยชน์ในการดำเนินชีวิตของแต่ละคนที่หวังสร้างพื้นฐานในด้านคุณค่า
        คำว่าดนตรีคงไม่ได้หมายความแต่เรื่องการเล่นดนตรีเท่านั้น หากลึกซึ้งยิ่งกว่าสิ่งดังกล่าว ควรหมายถึงวิถีการดำเนินชีวิตที่มีศิลปะอยู่ในรากฐานจิตใจเพื่อหวังใช้ความรู้และความเข้าใจให้ถึงความจริงซึ่งจะนำไปสู่ประโยชน์สุขของแต่ละคนให้มีความเป็นไปได้
        เมื่อพูดถึงงานศิลปะสำหรับผู้ที่สนใจเรื่องนี้คงจะมองเห็นความหมายที่ครอบคลุมการดำเนินชีวิตและการทำงานได้ทุกเรื่อง ดังนั้นไม่ว่าศิลปะการดนตรี ศิลปะการเขียนภาพ ศิลปะการถ่ายภาพ ศิลปะป้องกันตัวและวรรณศิลป์ ล้วนแล้วมีรากฐานเป็นหนึ่งเดียวกันหมด
        รากฐานดังกล่าว ถ้าใครไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ไหนฉันจะบอกให้ว่าศิลปะทุกชนิดล้วนมีรากฐานอยู่ในจิตใจเราเอง ถ้าใครถามว่าสิ่งที่อยู่ในใจเหล่านั้นๆมันคืออะไร ฉันคิดว่าคงตอบได้ไม่ยากถ้าแต่ละคนเป็นคนรู้จักสำรวจตัวเองอยู่เสมอ ซึ่งเรื่องนี้ถ้าจะกล่าวว่ามันเหมือนกับเส้นผมบังภูเขามันก็ใช่ แม้แต่เส้นผมชิ้นเล็กๆแต่ภูเขาเป็นเรื่องใหญ่โตมโหฬารมันยังบังได้ เพราะว่ามันอยู่ในระยะทางที่ห่างกันมาก
        เธอที่รักทุกคนลองเอาของเล็กๆมาไว้ใกล้ตาเราส่วนของใหญ่ไม่ว่าจะใหญ่โตมโหฬารแค่ไหนมันอยู่ไกลๆ ของเล็กมันก็อาจจะบังได้สนิท ซึ่งเรื่องนี้ถ้าเราคิดว่าสติปัญญาของเราเองแม้จะเล็กแค่ไหนถ้าวัตถุที่ใหญ่โตมโหฬารมันอยู่ไกลเรามากๆ ทำไมสติปัญญาตัวเองมันถึงมองเห็นได้ยาก ซึ่งเรื่องนี้คงโทษใครไม่ได้นอกจากโทษตัวเราเองว่า เพราะเราไม่อาจปรับความใหญ่เล็กของสิ่งที่อยู่ภายนอกให้มีความเท่าเทียมกันได้จึงทำให้ไม่อาจมองเห็นความจริงได้ว่า คนเราทุกคนแม้ว่าจะมีความใหญ่เล็กไม่เท่ากัน แต่ถ้าสามารถมองเห็นความสำคัญอย่างเท่าเทียมกันก็ย่อมเห็นความจริงได้ไม่ยากว่า เราแต่ละคนล้วนเป็นคนเหมือนกันทั้งนั้น เพราะเรามีสติปัญญาที่มืดบอดจึงไม่สามารถมองอย่างผู้รู้ความจริงได้ ดังเช่นการที่มวลชนในสังคมมีการแบ่งชนชั้น เรื่องนี้ควรจะเห็นปัญหาได้อย่างชัดเจน
        ดังนั้นการเล่นดนตรีก็ดี การประกอบงานศิลปะอื่นใดก็ตาม ถ้าเรารู้จักนำมาใช้ประโยชน์ย่อมรู้เท่าทันได้ว่าไม่ใช่เรื่องเอามันมาตีเป็นมูลค่าที่แตกต่างกันเพื่อหวังหาเงิน หากนำมาใช้ประโยชน์ในการประเทืองปัญญามากกว่าสิ่งอื่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่เป็นวัตถุเราควรจะรู้เท่าทันมันมากกว่าการหลงอยู่กับมันอย่างไม่ลืมหูลืมตา ส่วนคนที่เอางานศิลปะของตนเองมาเน้นความสำคัญถึงความแตกต่างในด้านมูลค่าเพื่อหวังหาเงิน ถ้าฉันจะพูดว่าคนลักษณะนี้ถ้าจะเปรียบกับธุรกิจอย่างอื่น เห็นจะต้องประณามกันว่า มันไม่ใช่ศิลปะที่นำมาใช้ประโยชน์ในทางสร้างสรรค์ หากเป็นงานที่นำมาใช้เป็นเครื่องมือขายตัวของตนเองอย่างน่าอับอายที่สุด
        การคิดหาเงินไม่ใช่เรื่องที่อยู่บนพื้นฐานของเหตุและผลสำหรับคนที่ได้รับเงินมาจากงานศิลปะของตัวเองมันก็มีอยู่ ๒ ประเภท ประเภทหนึ่งควรจะได้แก่คนที่ตั้งใจจะเอาผลงานของตัวออกมาเร่ขาย คนประเภทนี้แม้ว่าจะไม่ใช่โสเภณีแต่ก็เป็นโสเภณีทางใจ ส่วนอีกประเภทหนึ่งคือผู้ที่ใช้ผลงานในด้านศิลปะของตนเป็นสื่อความรักบนพื้นฐานคุณธรรมเพื่อมอบให้กับเพื่อนมนุษย์ทุกคนอย่างปราศจากการเลือกที่รักมักที่ชัง  คนประเภทนี้ถ้าได้รับเงินมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ได้คิดตั้งใจจะนำงานมาค้าขาย ก็ควรได้รับการยกย่องว่าเป็นคนที่มีจิตวิญญาณในด้านศิลปะอย่างแท้จริง
ทั้งนี้และทั้งนั้น ถ้าจะพูดว่าคนประเภทหลังควรได้รับการยกย่องว่าเป็นศิลปินโดยธรรมชาติมันก็น่าจะถูกต้อง ซึ่งคนประเภทนี้ควรจะเป็นเพื่อนฝูงที่สามารถคบได้โดยไม่เป็นพิษเป็นภัยอะไรแก่ใครทั้งนั้น คงมีแต่ความรักที่มอบให้แก่แผ่นดินถิ่นเกิด รวมทั้งเพื่อนมนุษย์ทุกรูปลักษณะอย่างไม่เลือกที่รักมักที่ชัง จึงขอฝากเรื่องนี้ไว้เป็นแง่คิดสำหรับเพื่อนมนุษย์ทุกคนที่หวังจะนำตนไปสู่วิถีทางที่สร้างสรรค์ต่อไป

                                ๑๖ มกราคม ๒๕๕๑