วันศุกร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เรื่องน่ารู้เก็บมาฝาก

                                                 ศิลปะเด็กเขาตัดสินกันอย่างไร
ทำไมลูกผมจึงไม่ได้รางวัล?”

                                                                                                                                                                               อ.อรอนงค์  ฤทธิ์ฤาชัย


การจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมทางด้านศิลปะเด็กที่นิยมกันมากก็เห็นจะไม่พ้นเรื่องการจัดประกวดวาดภาพ ซึ่งมีรูปแบบอยู่ 2 ประการคือ ประการแรก ให้ส่งผลงานเข้าร่วมประกวด ประการที่สองให้มาวาดประกวดกันสดๆ เดี๋ยวนั้นเลย ซึ่งมันมีช่องว่างค่อนข้างเยอะที่จะได้งานที่บริสุทธิ์จริงๆ ในกรณีแรกนั้นไม่สามารถทราบได้เลยว่าเป็นผลงานที่เด็กทำเอง หรือมีครู ผู้ปกครองมาคอยชี้แนะให้วาดอย่างนั้นให้ทำอย่างนี้ ส่วนประการที่สองดีขึ้นมานิดหนึ่งตรงที่ เราได้เห็นกระบวนการทำงานของเด็ก ที่สำคัญคือต้องไม่แจ้งหัวข้อให้เด็กทราบล่วงหน้าเพราะไม่เช่นนั้นก็จะไม่ต่างอะไรกับกรณีแรกที่ครูหรือผู้ปกครองมีส่วนมาช่วยแต่งเติมความคิดของเด็ก เท่ากับว่างานชิ้นนั้นเสียความบริสุทธิ์ไป คุณค่าของงานก็หายไปด้วย
ปัญหาที่เกิดขึ้นบ่อยๆ ในการจัดประกวดวาดภาพของเด็กก็คือ มักมีการแสดงความไม่พอใจเกิดขึ้นจากครูอาจารย์หรือผู้ปกครองของเด็ก เนื่องจากไม่เข้าใจในการตัดสินของกรรมการ   ผู้ปกครองท่านหนึ่งถึงกับบ่นออกมาว่า ทำไมลูกเขาถึงไม่ได้รางวัลประกวดวาดภาพครั้งนี้ ทั้งๆ ที่วาดภาพและระบายสีได้สวยเป็นระเบียบไม่ออกนอกกรอบเลยสักนิดและคงไม่ใช่มีผู้ปกครองเพียงท่านเดียวที่เคยบ่นหรือรู้สึกเช่นนี้ จากประสบการณ์ที่ได้รับเชิญให้เป็นกรรมการในการตัดสินการประกวดวาดภาพมาหลายปี เหตุผลที่เป็นเช่นนี้เพราะมีความเข้าใจในการประเมินผลงานศิลปะเด็กของผู้ปกครองกับกรรมการตัดสินยังไม่ตรงกัน ไม่ใช่แค่ผู้ปกครองเท่านั้น ครูอาจารย์ที่สอนศิลปะเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไมลูกศิษย์ของตนจึงไม่ได้รับรางวัลหรือไม่ได้รางวัลที่คาดหวังไว้ บางครั้งก็แสดงอารมณ์ความไม่พอใจออกมา ประการที่สำคัญที่สุดก็คงด้วยใจที่ลำเอียงไปทางลูกหลานหรือลูกศิษย์ของตนเองมาเป็นอันดับแรก หรือในบางครั้งกรรมการตัดสินก็เห็นไม่ตรงกัน ด้วยใจที่มองว่าตนเองชอบภาพนั้นด้วยเหตุผลส่วนตัวของแต่ละคนไป หรือบางท่านเป็นศิลปินวาดภาพที่มีฝีมือฉกาจแต่อาจขาดความเข้าใจในศิลปะเด็ก ซึ่งต้องใช้เกณฑ์คนละอย่างมาวัดต่างจากศิลปะของผู้ใหญ่ที่เน้นในเรื่องของฝีมือมากกว่า ศิลปะจึงเป็นเรื่องยากที่จะมาตัดสินเหมือนคณิตศาสตร์ที่มีคำตอบตายตัวว่า 1+1= 2  ศิลปะไม่มีถูกผิดแต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีวิธีการประเมินหรือตัดสิน น้อยคนนักที่จะได้ทราบว่าเขาใช้หลักเกณฑ์ใดมาวัดหรือตัดสินกัน โดยส่วนตัวแล้วก็ไม่เห็นด้วยนักกับการจัดประกวดวาดภาพ  เพราะจุดประสงค์สำคัญของการทำงานศิลปะนั้นก็เพื่อให้เด็กได้มีพัฒนาการที่ดีทางร่างกาย อารมณ์ สังคม สติปัญญา รวมถึงมีความสุข มีจินตนาการ และมีความมั่นใจในการแสดงออก แต่กลายเป็นว่าเด็กมุ่งหวังและให้ความสำคัญกับรางวัลมากกว่าสิ่งที่เขาควรจะได้รับ ครูก็เป็นบุคคลหนึ่งซึ่งคอยบีบคั้นเด็กในการทำงานศิลปะ เพราะถ้าเด็กได้รับรางวัลก็จะกลายเป็นผลงานของครูไปด้วย จึงมีความมุ่งหวังค่อนข้างมาก ทำให้เด็กบางคนเก็บอารมณ์ความรู้สึกเอาไว้ไม่ไหว ถึงกับร้องไห้ออกมาเพราะเสียใจที่ตนเองไม่ได้รางวัลที่หนึ่งทั้งๆ ที่เคยประกวดได้รางวัลที่หนึ่งมาตลอด หรืออาจจะร้องเพราะกลัวครูจะไม่พอใจก็เป็นได้ ศิลปะเป็นสิ่งง่ายที่เด็กจะได้สัมผัสและเรียนรู้ แต่กลับกลายเป็นการทำงานศิลปะด้วยความเครียดไป จะเห็นได้ว่าการพัฒนาด้านศิลปะเด็กในประเทศไทยยังคงวนเวียนอยู่เพียงแค่การประกวดวาดภาพเป็นส่วนใหญ่ ยังไม่เห็นความสำคัญและประโยชน์ของศิลปะที่แท้จริง ซึ่งในต่างประเทศจะให้การส่งเสริมทางด้านศิลปะเด็กค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นงบประมาณ วัสดุอุปกรณ์ หรือเวลาในการสอน ประเทศไทยกลับมองว่ามีหรือไม่มีก็ได้ บางโรงเรียนไม่มีครูศิลปะและไม่มีวิชาศิลปศึกษาก็มี ทั้งนี้เพราะความเข้าใจที่มุ่งไปว่าคนเรียนเก่งมักต้องเรียนคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ  ในเมื่อมุ่งเน้นและให้ความสนใจไปคนละทิศทางแล้ว มันก็ยากที่คนเรียนศิลปศึกษาที่เป็นคนกลุ่มเล็กๆ จะช่วยกันส่งเสริมและเผยแพร่ให้คนทั่วไปได้เข้าใจถึงความสำคัญของศิลปศึกษา  ถ้าเป็นเช่นนี้ต่อไป ศาสตร์ อาจจะถูกกลืนหายไปในไม่ช้า
ได้มีนักวิชาการที่กล่าวถึงเกณฑ์ในการตัดสินผลงานศิลปะเด็กอยู่บ้าง ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่เป็นประโยชน์ต่อหลายๆ ฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นกรรมการตัดสิน ครูหรือผู้ปกครอง หรือแม้กระทั่งตัวเด็กเอง  เพื่อจะได้คลายข้อข้องใจต่างๆ และเข้าใจได้ตรงกัน จริงๆ อาจจะมีการตั้งเกณฑ์ขึ้นมาตามความเห็นชอบของคณะกรรมการตัดสิน ซึ่งอาจไม่ใช่หลักเกณฑ์เดียวกับที่จะนำเสนอให้ทราบ ทั้งนี้ก็แล้วแต่สถานการณ์และการปรับใช้  ไม่มีกฎระเบียบตายตัว ดังนั้นจึงอยากเสนอแนะให้ทราบเป็นกรอบความคิดไว้กว้างๆ เกี่ยวกับเกณฑ์การตัดสินการประกวดวาดภาพไว้ ดังนี้
   1.ด้านเนื้อหาเรื่องราวของภาพ กรรมการค่อนข้างจะให้ความสำคัญกับด้านเนื้อหาค่อนข้างสูง และ
พิจารณาเป็นอันดับแรกว่าตรงตามหัวข้อที่กำหนดไว้หรือไม่ หากผลงานชิ้นใดสามารถสื่อออกมาได้ชัดเจนและมีเนื้อหา
ตรงตามที่กำหนดไว้ก็จะได้รับการพิจารณาก่อน
 2.ด้านองค์ประกอบของภาพ ได้แก่
2.1  การร่างภาพ ได้แก่ ความสามารถในการร่างภาพ และร่างรายละเอียดหรือส่วนประกอบต่างๆ ของภาพ รวมไปถึง
ความมั่นใจในการแสดงออกในการใช้เส้น
2.2  การจัดภาพ ได้แก่ ความสมดุลของภาพ (ซ้าย-ขวา/บน-ล่าง) ความมีเอกภาพของภาพ (ควบคุมได้ไม่กระจัดกระจาย) และการเน้นจุดสนใจในภาพ
2.3  ทักษะการใช้วัสดุ ได้แก่ ความสามารถในการระบายสี การเลือกใช้คู่สีได้สวยงาม ความหลากหลายของสีในภาพ (เหมาะสม) การแทนค่าสีอ่อน-แก่ เรื่องการระบายสีค่อนข้างเป็นสิ่งสำคัญเพราะผลงานจะออกมาเห็นได้เด่นชัด อย่างที่กล่าวในข้างต้นว่าผู้ปกครองบางท่านสงสัยว่าทำไมลูกของตนระบายสีได้อย่างเรียบร้อยจึงไม่ได้รับรางวัลในการประกวด เด็กบางคนระบายสีดูเหมือนเลอะเทอะ กรรมการกลับคัดเลือกให้ได้รางวัล ทั้งนี้เนื่องจากกรรมการมองว่าเด็กได้แสดงออกอย่างบริสุทธิ์ไร้เดียงสา มีการ ระบายสีแบบแสดงร่องรอยฝีแปรง มีความมั่นใจในการแสดงออก ไม่ได้ถูกผู้ใหญ่บังคับหรือชี้นำให้ทำตาม  แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าครูจะต้องไปสอนให้เด็กระบายสีแบบเลอะเทอะเพื่อให้ได้รางวัล เพราะกรรมการต้องพิจารณาจากวัยของเด็กแล้วว่าสามารถระบายสีแบบเรียบร้อยได้หรือยัง
2.4  ความงามทางศิลปะ ได้แก่ ความกลมกลืนของเส้น สี พื้นผิว รูปร่าง
3. ด้านความคิดสร้างสรรค์ ได้แก่ ความคิดสร้างสรรค์ด้านเนื้อหา ด้านการใช้สี ด้านการจัดภาพ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นผลงานที่มีความโดเด่นแตกต่างจากคนอื่นๆ ที่เคยมีมา
4. ด้านการเปรียบเทียบผลงานกับพัฒนาการการวาดภาพของเด็ก โดยพิจารณาว่าผลงานเป็นไปตามพัฒนาการการวาด
ภาพของเด็กหรือไม่
5. มีความมั่นใจในการแสดงออก โดยดูจากการร่างภาพ การระบายสี เป็นต้น
6. ความบริสุทธิ์ของงานที่ปราศจากความคิดของผู้ใหญ่ชี้นำ ข้อนี้สำคัญมากเพราะเด็กที่ประกวดวาดภาพส่วนใหญ่มัก
ได้รับการฝึกฝนจากผู้ปกครองครูอาจารย์มาค่อนข้างดี ซึ่งอาจไม่ยุติธรรมกับเด็กที่คิดและสร้างสรรค์ผลงานขึ้นมาเอง ดัง
นั้นกรรมการจึงควรจะมีความละเอียดในการพิจารณาเพื่อคัดเลือกผลงานที่ค่อนข้างมีความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาให้ได้มากที่
สุด


                              ตัวอย่างผลงานจากการประกวดวาดภาพของนักเรียนระดับอนุบาล
                                                  ในหัวข้อ ธรรมชาติอันงดงาม
                                   ภาพที่ 1                                                    ภาพที่ 2
           

 


เมื่อเปรียบเทียบดูแล้วผลงานมีความใกล้เคียงกันมากจนแทบจะหาข้อแตกต่างได้ค่อนข้างยาก  ไม่ว่าจะเป็นในด้านเนื้อหาของภาพ ถ้าพิจารณาในด้านความคิดสร้างสรรค์แล้ว อาจบอกได้ว่าเด็กวาดภาพจากการที่ได้เคยเห็นแบบมาก่อน จึงวาดภาพลักษณะนี้ออกมา แต่ที่นำมาเป็นตัวอย่างเพราะหลายท่านข้องใจเกี่ยวกับการระบายสี คือ ระหว่างการระบายสีให้เรียบร้อยกับการระบายสีที่ค่อนข้างเลอะเทอะ  ผลงาน 2 ชิ้นนี้มีสิ่งที่แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดก็คือ การระบายสี ผลงานด้านซ้ายมือเมื่อดูโดยภาพรวมแล้วค่อนข้างเลอะเทอะ  ต่างกับด้านขวามือซึ่งระบายสีอย่างเรียบร้อยไม่ออกนอกกรอบเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ เราอาจพิจารณาตามพัฒนาการในการวาดภาพของเด็กประกอบด้วย  ซึ่งโลเวนเฟนด์ ( Victor Lowenfeld) ได้กล่าวถึงพัฒนาการการวาดภาพของเด็กในระดับอนุบาลไว้ดังนี้
·       ขั้นขีดเขี่ย (อายุ 2-4 ขวบ)  คือเริ่มการขีดเขี่ยที่ปราศจากการควบคุม ต่อจากนั้นจะสามารถควบคุมมือให้เคลื่อนไหวซ้ำๆ กัน เป็นการเพิ่มความสัมพันธ์ระหว่างมือกับตา  หลังจากนั้นก็จะเริ่มกำหนดชื่อรูปทรงต่างๆ ที่สร้างขึ้น เปลี่ยนแปลงจากความพึงพอใจในการเคลื่อนไหว มาสู่การคิด จินตนาการ โดยเด็กจะเริ่มมองเห็นความสัมพันธ์ระหว่างภาพเขียนและโลกภายนอก  และตระหนักว่าวัตถุที่มองเห็นสามารถนำมาสร้างเป็นภาพได้
·       ขั้นเริ่มสัญลักษณ์ (อายุ 4-7 ขวบ) เด็กจะถือตัวเองเป็นศูนย์กลางของสิ่งต่างๆ สัญลักษณ์ที่ปรากฏในภาพขึ้นอยู่กับการรับรู้ของเด็กเอง เด็กเขียนภาพตามที่เขารู้ ไม่ใช่ตามที่เขามองเห็นเท่านั้น รูปทรงที่โปร่งใสหรือมีลักษณะเหมือนภาพเอ็กซ์เรย์ ชี้ให้เห็นว่า เด็กรับรู้อย่างไร ไม่ใช่เพียงการมองเห็นได้มุมใดมุมหนึ่งเท่านั้น ภาพเขียนจะแสดงถึงความสนใจต่อความสัมพันธ์ของสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกำหนดบริเวณว่างบนพื้นภาพ เด็กเริ่มจะสนใจเส้นกับรูปร่างเรขาคณิตมากขึ้น
ทั้งนี้ไม่ใช่ว่าเด็กทุกคนจะต้องมีพัฒนาการทางการวาดภาพเท่าๆ กัน เด็กบางคนอาจจะต่ำกว่า หรือบางคนอาจจะมากกว่าขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมและการส่งเสริมจากผู้ใหญ่อีกด้วย
จากผลงานทั้งสองภาพมองได้ว่าเด็กอาจจะได้รับการสั่งสอนจากครูว่าธรรมชาติอันงดงามควรมีองค์ประกอบใดในภาพบ้างเพราะเนื้อหาที่เด็กสื่อออกมาประกอบด้วยภูเขา พระอาทิตย์ บ่อน้ำ ถ้าพิจารณาโดยรวมแล้ว ผลงานทางด้านขวามือมีการทำงานที่ค่อนข้างเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่เมื่อมองดูแล้วเหมือนกับขาดความมั่นใจในการวาดภาพไป เพราะทุกอย่างจะดูแข็งทื่อ ขาดเสน่ห์ ขาดความบริสุทธิ์ไร้เดียงสา และความอิสระของภาพไป ตรงกันข้ามกับผลงานทางด้านซ้ายมือที่ดูเหมือนจะมีความสนุกในการทำงาน มีความมั่นใจและไม่กลัวผิด แต่การวิเคราะห์ออกมาเช่นนี้อาจจะไม่ถูกต้องนัก จะให้ถูกต้องจริงๆ ต้องฟังการอธิบายผลงานจากตัวเด็กด้วยว่าเขาต้องการบอกอะไร ไม่ใช่ให้ผู้ใหญ่คาดเดาเอาเอง และควรมีการสังเกตพฤติกรรมการทำงานประกอบด้วยจึงจะรับรองการวิเคราะห์ได้ว่าไม่ได้เป็นการนึกเดาเอาเอง 
ความจริงได้กล่าวไว้ข้างต้นแล้วว่าไม่เห็นด้วยกับการจัดประกวดวาดภาพนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเด็กเล็กๆ ที่น่าจะเป็นการปล่อยให้เด็กได้แสดงออกอย่างอิสระเสรี ไม่มีถูกผิด ไม่มีการเปรียบเทียบผลงานกันว่าใครดีกว่าหรือด้อยกว่าอย่างไร เพราะจะเป็นการทำลายความคิดและจินตนาการของเด็กไปโดยไม่รู้ตัว
อย่างไรก็ตาม อยากฝากให้ผู้ใหญ่ทุกคนได้ทำความเข้าใจเมื่อเด็กวาดภาพด้วยว่า ควรจะให้การส่งเสริมและให้กำลังใจเด็ก ดีกว่าการติ และบังคับให้เด็กทำตามอย่างที่ใจผู้ใหญ่ต้องการ เพราะนั่นเท่ากับว่าเป็นการบั่นทอนความคิดและจินตนาการของเด็กไป ซึ่งจะเป็นผลกระทบตามมาเมื่อเขาโตขึ้น

เอกสารอ้างอิง

ชัยณรงค์  เจริญพานิชย์กุล. (2533)  พัฒนาเด็กด้วยศิลปะ. กรุงเทพฯ : บริษัท แปลน พัลลิชชิ่ง จำกัด.
Lowenfeld,Victor,and W.Lambert Brittian. Creative and Mental Growth. The Macmillan Company,London,1970.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น